ที่มาของเนคไท

history tie

ช่วงศตวรรษแรกก่อนคริสตกาล เมื่ออากาศร้อนทหารโรมันจะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆพันคอ เพื่อบรรเทาความร้อน แต่ก่อให้เกิดความไม่สวยงามจึงไม่ได้เป็นที่นิยมและแล้วเรื่องราวแหล่งกำเนิดของเนคไทก็ไม่พ้นวงการทหาร เมื่อในปี ค.ศ. 1668 ชาวโครแอทซึ่งรับจ้างเป็นทหารให้ออสเตรียโดยประจำการที่ประเทศฝรั่งเศส ทหารรับจ้าง

กลุ่มนี้มีเครื่องแบบเป็นผ้าพันคอทำด้วยผ้ามัสลินและผ้าลินินโดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อประโยชน์ใช้สอยและยังเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เหล่าหรือเครื่องแบบนั่นเอง จนเมื่อชาวฝรั่งเศสได้นำไอเดียนี้มาใช้ โดยนิยมใช้ผ้าลินินและผ้าลูกไม้พันรอบคอ แล้วผูกไว้ตรงกลางด้านหน้าของคอโดยปล่อยชายยาว แฟชั่นนี้เผยแพร่ไปถึงอังกฤษอย่างรวดเร็วชาวอังกฤษนิยมกันจนถึงขั้นคลั่งไคล้ โดยเฉพาะเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ แห่งอังกฤษทรงแต่งนำและพสกนิกรพากันทำตามนอกจากนี้ขณะนั้นเป็นข่วงที่วงการแฟชั่นเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

เนกไทวิวัฒนาการมาจาก คราแวท โดยช่างตัดเสื้อชาวอเมริกันชื่อว่า JesseLangsdorf ได้ออกแบบโดยการตัดผ้าเฉียงๆและจดสิทธิบัตรไว้ในปี ค.ศ. 1924 จนยุค 50s เนกไทได้รับความนิยมสูงสุดจนเป็นที่มาของประโยค “a man was't fully dressed until he had put onhis tie.” เนกไทเริ่มกลายเป็นแฟชั่นในยุค 70s โดย Ralph Lauren ห้องเสื้อชื่อดังแห่งอเมริกาได้ออกแบบเนคไทที่มีความกว้าง10เซนติเมตร ยุค 80s มีการวาดและพิมพ์งานศิลปะของศิลปินลงบนเนคไท

ศตวรรษต่อมา แฟชั่นดังกล่าวได้แรงหนุนอย่างดีจาก โบบรูมเมลผู้โด่งดัง เพราะมีเนคไทในครอบครองจำนวนมาก และมีวิธีการผูกเนคไทแบบต่างๆมากมายจนกลายเป็นประเด็นถกเถียงโต้แย้งอภิปรายกันทั้งในสภากาแฟและสื่อมวลชนว่าควรจะผูกแบบใดจึงจะถูกแต่น่าสังเกตว่ามาถึงช่วงนี้เรื่องดังกล่าวเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่ผู้ชายเท่านั้นสื่อมวลชนในยุคนั้นทำรายการวิธีผูกเนคไทออกมาได้ถึง ๓๒ แบบถ้าได้พบปะบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือพาตัวไปอยู่ในที่ชุมนุมของแฟชั่นหลากแบบเช่นสนามแข่งม้า จะเห็นผ้าผูกคอจนลานตา

ยุคนี้เองที่แฟชั่นผ้าผูกคอมีหลายแบบ เช่น แบบห้อยชายยาวลงมาแบบหูกระต่าย ผ้าที่ใช้ก็มีต่าง ๆกัน เป็นผ้าพื้น ผ้าลายขนาดของผ้ามีทั้งเป็นเส้นผอมๆ หรือขยายบานออกตรงปลาย